วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

น้ำมนต์จันทร์เพ็ญ


น้ำมนต์จันทร์เพ็ญ

  เนื่องในขณะที่เขียนนี้ใกล้เทศกาลลอยกระทง จึงขอนำเสนอเรื่องราวตามความเชื่อไสยศาสตร์ถึงเรื่องน้ำมนต์ที่คนโบราณนิยมทำพิธีอาบในช่วงเทศกาลนี้

คนไทยแต่โบราณเชื่อเรื่องพลังลี้ลับ ที่เกิดจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในสามารถใช้วันเพ็ญเดือน 12 ได้ หรือก็ใช้วันเพ็ญเดือนอื่น ๆ เป็นวันทำน้ำมนต์ก็ได้ แต่วันพ็ญเดือน 12 จะมีสิริมงคลมาก ยิ่งอาบน้ำเดือนเพ็ญ ทำน้ำมนต์วันเพ็ญเดือน 12 จากตำนานเราผูกพันกับโลกมานานแสนนาน ด้วยความที่เป็นดวงจันทร์ดาวที่อยู่ใกล้โลกที่สุด พลังและแรงดึงดูดจึงมีอิทธิพลต่อโลกอย่างมาก ความเชื่อเรื่องพลังจากดวงจันทร์เต็มดวง มีอยู่ทุกภูมิภาคของโลกของคนไทย และชาวพุทธยิ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก





การปลุกเสกน้ำพระพุทธมนต์ในคืนวันเพ็ญเต็มดวงที่กำลังแผ่รัศมีอย่างเต็มที่ ถือได้ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มีอานุภาพมากเป็นพิเศษ เพราะในทางโหราศาสตร์และทางวิทยาคุณถือกันว่า "พระจันทร์" มีคุณในทางเสน่ห์ เมตตา มหานิยม เยือกเย็น และ ดึงดูดมหาชน

แง่มุมของเทววิทยา เชื่อกันว่าพระจันทร์มีเทพรักษาอยู่องค์หนึ่ง ชื่อ "จันทรเทพ" หรือ "โสมเทพ" เทวดาองค์นี้เป็นบุรุษ มีรูปร่างหล่อเหลา ผิวขาวเหลืองสะอาดสะอ้าน เจรจาพาทีไพเราะเสนาะหู มีรัศมีผ่องใสสวยงามเป็นที่น่ารักใคร่ดึงดูดใจผู้พบเห็น แต่ข้อเสียคือ เจ้าชู้เป็นนักหนา แม้เจรจาไพเราะแต่ก็มักเป็นเชิงเกี้ยวพาราสี ดังนั้นหากในดวงชาตาของผู้ใดเกิดในวันจันทร์ หรือมีจันทร์กุมลัคน์ จึงมักมีความเป็นพระจันทร์ติดมาด้วย เช่น ผิวขาวเหลือง รูปร่างแบบบางสะโอดสะอง รักสวยรักงาม ช่างเจรจา และที่ขาดไม่ได้คือ เจ้าชู้ประตูดิน !

ได้อัธยาศัยมาจากจันทร์นั่นแล...

แม้ในทางวิทยาศาสตร์เองก็ยังยืนยันว่า แหล่งน้ำทุกแหล่งในโลกที่มีน้ำขึ้นและลงได้ก็เพราะอาศัย "แรง" แห่งพระจันทร์ คนบ้าจะคลุ้มคลั่งเป็นพิเศษก็ในคืนเพ็ญ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสรีระของสตรีได้รับผลจากพระจันทร์โดยตรงเช่นกันจึงเรียกว่า menstruation หรือรอบเดือน ฯลฯ

ขนาดแหล่งน้ำใหญ่อย่างมหาสมุทรยังต้องเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงด้วยแรงของศศิธร แล้วทำไมมนุษย์ตัวเล็ก ๆ จะไม่ถูกอานุภาพของดวงจันทร์สั่นคลอนไปด้วย 

ก็ในเมื่อร่างกายมนุษย์มีน้ำอยู่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์

ดังนั้น ในทางโหราศาสตร์ก็ดี ไสยศาสตร์ก็ดี จึงถือมั่นกันว่าคืนเพ็ญเป็นคืนพิเศษที่ประกอบพิธีกรรมใดใดก็จะขลังเป็นพิเศษเช่นกัน และโอกาสเช่นนี้ก็หาได้ยาก เพราะในหนึ่งปีย่อมมีเพียงหนเดียวที่พระจันทร์จะทอแสงแข่งรัศมีกับดวงดาวอย่างเต็มที่จนกลบรังสีแห่งดาวทั้งปวงแทบหมดสิ้น

เรียกว่าไร้ต้านในยามราตรี

เนื่องด้วยวันสำคัญในทางศาสนาพุทธ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ หรือที่เรียกว่าคืนเดือนเพ็ญ หรือคืนพระจันทร์เต็มดวงนั้นเอง พิธีกรรมเพื่อความเป็นสิริมงคล“ นั้น ทาง ครูโหราศาสตร์ในอดีตกล่าวว่า สิ่งที่เป็นมงคล  วันมงคล หากได้ทำ ’น้ำมนต์“ ในคืนจันทร์เพ็ญ จะ ’ศักดิ์สิทธิ์“ ยิ่งนัก เกิดสิริมงคล ทำการใดก็สำเร็จสมความปรารถนา มีโชคชัยมงคล ประสบชัยชนะ เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย รอดพ้นจากภยันตรายต่าง ๆ เพราะโลก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ โคจรมากุมกันและเล็งกัน “วันจันทร์เพ็ญนั้น ใน 1 ปี มีถึง 12 ครั้ง เพราะใน 1 ปี มี 12 เดือน โดยใน 1 เดือนจะมีวันจันทร์เพ็ญเพียงวันเดียว ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าช่วง วันเพ็ญเดือน 12 หรือวันลอยกระทงนั้น เป็นช่วงวันที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในการทำน้ำมนต์ แต่หากไม่สะดวกหรือไม่สามารถใช้วันเพ็ญเดือน 12 ได้ ก็ใช้วันเพ็ญเดือนอื่น ๆ เป็นวันทำน้ำมนต์ได้”

พระจันทร์วันเพ็ญเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามาอย่างยาวนาน พระพุทธองค์ประสูติขึ้นในโลกมนุษย์นี้ก็คืนเพ็ญ ทรงตรัสรู้ธรรมอันเลิศก็ในคืนเพ็ญ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ก็ในคืนเพ็ญ ทรงเสด็จเข้าสู่พระมหาปรินิพพานก็ในคืนเพ็ญ....

เป็นไปอย่างน่าอัศจรรย์

หลายคนบอกว่าเป็นเรื่องแปลกดีที่ "บังเอิญ" พอเหมาะได้ขนาดนั้น แต่หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ พระมหาเถระแห่งกรุงเก่ากลับบอกว่า

"ถ้าแกมีญาณที่จะหยั่งรู้ได้ แกจะเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตแกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญเลย"

แปลง่าย ๆ ว่าในพระพุทธศาสนาไม่มีคำว่าบังเอิญ

ทุกอย่างมีเหตุ ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ
เมื่อมีเหตุ ก็ต้องมีผล
เหตุดับ ผลก็ดับ

นี้คือสัจธรรม

สัจจะภาวะอย่างหนึ่งที่ปรากฏในโลกนี้คือ "พระจันทร์" มีผลกับมนุษย์ทั้งทางด้านร่างกายและทางด้านจิตใจ อำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาจากพระจันทร์ มีผลให้การทำขลังซึ่งเป็นงานทางด้าน "จิตใจ" แสดงอิทธิคุณของมันอย่างเต็มที่ เป็นเหตุให้ของขลังอันรังสรรค์ในวันที่จันทร์เป็นเจ้าของนั้นส่งอานุภาพเป็นมหาเมตตา เป็นมหานิยม เป็นมหาโชคมหาลาภเอกอุ


สมเด็จพระสังฆราช แพ ติสสเทวมหาเถระ อธิบดีสงฆ์แห่งวัดสุทัศนเทพวราราม ก็ทรงโปรดที่จะเททองพระกริ่ง - พระชัยวัฒน์ในคืนเพ็ญเดือนสิบสอง รับสั่งเรียกว่า พระกริ่งในกาล หากเทนอกเหนือจากวันนั้นแล้ว ก็ตรัสเรียกว่าเป็น พระกริ่งนอกกาล และในวันที่เททองพระกริ่งนี้เอง สมเด็จฯ จะทรงทำน้ำพระพุทธมนต์ไว้หนึ่งบาตรพระ เต็มปรี่เปี่ยมบาตร ดุจพระจันทร์วันเพ็ญเต็มดวง

เมื่อประกอบพิธีเททองพระกริ่งแล้วเสร็จ จะทรงนำบาตรน้ำพระพุทธมนต์นั้นมาสรงในคราวเดียวหมดบาตร ตรัสเรียกพิธีกรรมนี้ว่า 

"อาบน้ำเพ็ญ"

พระคาถาที่ทรงเจริญเพื่อเสกน้ำพระพุทธมนต์ชนิดนี้เป็นพระคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์และมีอานุภาพมาก แม้ตัวคาถาจะไม่ยาวนัก แต่ความหมายลึกซึ้งและยาวมากเมื่อแปล กล่าวถึงพระพุทธานุภาพแห่งพระพุทธองค์และพระมหาสาวกเอกองค์อรหันต์ทั้งหลายว่า... พระพุทธองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระสิริโฉมและรัศมีกายที่รุ่งเรืองงาม คือ ฉัพพรรณรังสี ได้แก่รัศมีรอบพระองค์หกสี แม้พระอรหันต์สาวกก็มี ทว่าแปลกต่างกันและไม่ครบหกสี

หากแม้พระจันทร์เมื่อวันเพ็ญจะทอแสงแรงกล้าจนสว่างทั่วฟ้าและแผ่นดินเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบได้กับฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์และรัศมีของเหล่าพระสาวกที่สาดส่องแผ่ไพศาลไปทั่วโดยรอบสุดขอบจักรวาล อนันตจักรวาล

ส่องสว่าง...แม้กระทั่งเข้าไปถึงข้างในหัวใจคนอันมืดมิด

ซึ่งแสงจันทร์หรือแสงใดใดก็ไม่อาจส่องถึง...


นี้คืออานุภาพของแสงธรรม
แหละนี้คือความหมายของพระคาถาเสกน้ำมนต์จันทร์เพ็ญ

เมื่ออ้างเอารัศมีกาย รัศมีพระเศียร รัศมีพระสาวก มาประดิษฐานอยู่ที่เรา อยู่เหนือเกล้าเหนือผมแล้ว แม้ไปที่ใด ผู้คนที่พบหน้าค่าตาเราก็ย่อมรู้สึกประทับใจสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นอ่อนโยนที่แผ่ออกมา ราวกับมองพระจันทร์วันเพ็ญที่กำลังทอแสงนวลตาสว่างรุ่งเรืองอยู่กลางหาว...

ดึงดูดสายตา ดึงดูดความรู้สึก อยู่ใกล้ก็เย็นอกเย็นใจ...สบายใจ อยู่ไกลก็รู้สึกคิดถึง อยากเห็น อยากมอง

นี่คือวิชา

หากผู้ที่ได้รับการ "อาบน้ำมนต์เพ็ญ" หรือ "การลงตัวคืนเพ็ญ" ไปแล้ว รักษาวิชาให้อยู่กับตัวได้ด้วยการรักษาศีล ไหว้พระสวดมนต์ ทำตนอยู่ในสายทางธรรมที่พระพุทธเจ้าวางแบบไว้ให้ ไม่ผิดข้อห้ามในสำนักแล้ว วิชาที่ลงไว้ย่อมไม่มีการเสื่อมสูญ รำลึกถึงเมื่อไร เรียกใช้เมื่อไร ย่อมได้รับผลดังใจปรารถนาทุกครั้งไปเป็นที่อัศจรรย์แน่นอน



อาบน้ำเพ็ญ ๑ปีมีหน พิธีอาบน้ำมนต์จันทร์เพ็ญ ขึ้น15ค่ำเดือน12
พิธีอาบน้ำเพ็ญ คือ พิธีอาบน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ในคืนพระจันทร์เพ็ญ (ขึ้น๑๕ ค่ำ) แต่เดิมนิยมประกอบพิธีในเดือน๓ ตรงกับ วันมาฆบูชาของทุกๆปี ตามพิธีทางศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า ศิวาราตรี  ต่อมามีการจัดขึ้นในวันขึ้น๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ซึ่งตรงกับ วันลอยกระทง เพราะถือว่าเป็นวันที่สายน้ำทุกแห่งทั่วโลก มีความบริสุทธิ์ใสสะอาดปีหนึ่งจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้นปีนี้ ขอขมาพระแม่คงคา วันลอยกระทง 


พิธีอาบน้ำเพ็ญ ปรากฏหลักฐานตามหนังสือพระราชพิธี ๑๒ เดือน พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕ ความว่า "วันนี้ทางศาสนาพราหมณ์เรียกว่า ศิวาราตรี ตอนเช้าพวกพราหมณ์จะนำหม้อทองเหลือง เดินทูนศีรษะไปยังแม่น้ำคงคา นั่งตามริมฝั่งน้ำ แล้วใช้หม้อตักน้ำขึ้นมา บริกรรมคาถา แล้วนำมาล้างหน้าบ้วนปาก จากนั้นก็กระโดดลงไปในแม่น้ำคงคา ดำลงไปในน้ำ ๓ ครั้ง โกยดินตมที่อยู่ในน้ำมาฟอกถูตัวแทนสบู่ แล้วจึงใช้น้ำ ชำระล้างถูตัวให้สะอาด  เสร็จแล้วจึงเอาหม้อตักน้ำขึ้นมานุ่งผ้าให้เรียบร้อย เดินทูนหม้อน้ำมุ่งหน้าสู่เทวสถาน เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป การปฏิบัติเช่นนี้ ถือว่าได้อาบน้ำชำระบาปที่ได้ทำมาทั้งหมด" ในสมัยพุทธกาลการอาบน้ำเพ็ญแบบพุทธนั้น ชาวชมพูทวีปส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์ คำสอนที่ถือเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ ความเชื่อ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำ เรียกว่า นหานสุทธิความบริสุทธิ์เกิด ได้เพราะการอาบน้ำชำระบาปแม้พระพุทธเจ้าเองก็เคยถูกพราหมณ์ภารทวาชะชักชวน ไปอาบน้ำ เพื่อลอยบาปเช่นกัน ซึ่งพระองค์ก็มีพระดำรัสสอนเกี่ยวกับการอาบ น้ำในพระธรรมวินัยของพระองค์ว่า "คนพาลที่ทำความชั่วแล้วถึงจะไปสู่แม่น้ำพหุกา แม่น้ำอธิกักกะ แม่น้ำคยา แม่ น้ำสุนทริกา แม่น้ำสรัสสตี แม่น้ำปยาคะ และแม่น้ำพาหุมดี เป็นประจำ ก็ทำให้เป็นคนบริสุทธิ์ไม่ได้ แม่น้ำเหล่านี้จะทำอะไรได้ จะช่วยชำระสะสางผู้ทำ บาปหยาบช้าให้บริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นไม่ได้ ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านอาบน้ำใน ศาสนาของเรา คือ มอบความปลอดภัยให้สัตว์ทั้งปวง ไม่พูดคำเท็จ ไม่เบียด เบียนสัตว์อื่น ไม่ลักทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่น มีศรัทธา ไม่ตระหนี่ถี่ เหนียวแล้ว จะต้องไปสู่แม่น้ำเพื่อประโยชน์อันใด แม้แต่การดื่มน้ำจากแม่ น้ำเหล่านั้น ก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ (ไม่สามารถล้างบาปได้เลย)" คาถาขอขมาพระแม่คงคา

อย่างไรก็ตามพิธีอาบน้ำเพ็ญที่ ถือปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันมักเป็นพิธีที่ถูกผสมผสานระหว่างศาสนาพราหมณ์กับ พุทธ เพื่อให้เกิดพลังความเข้มขลัง เช่น มีการสร้างวัตถุมงคล พร้อมทั้ง ได้อาราธนาพระวิปัสสนาจารย์ ผู้ทรงสมาธิคุณ เป็นที่เคารพนับถือของ พุทธศาสนิกชนทั่วไป จากทั่วประเทศ มาร่วมนั่งบริกรรมพระคาถา นั่งปรก อธิษฐานจิตปลุกเสกให้วัตถุมงคล และน้ำที่นำมาเข้าพิธีบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์ คล้ายกับงานพุทธาภิเษกพระเครื่องทั่วๆ ไป การจัดให้มีขึ้น แต่ละครั้ง มักเน้นเป็นพิเศษ เพื่อให้ผู้ที่เข้าร่วมพิธี หรือผู้ที่ได้รับ วัตถุมงคล หรือได้ร่วมอาบน้ำเพ็ญ เกิดกำลังใจกล้าที่จะละชั่ว ทำแต่ความดี เสริมสร้างบารมีให้แก่ตนเองตลอดไป คำบูชาสำหรับการลอยกระทง ลอยประทีป



น้ำมนต์จันทร์เพ็ญ


พิธีกรรมในการทำน้ำมนต์จันทร์เพ็ญ
1. เตรียมสถานที่อันโล่งกว้างอยู่กลางแจ้ง
2. บาตรน้ำมนต์หรือขันน้ำมนต์ขนาดใหญ่
3. น้ำบริสุทธิ์เพื่อใช้ทำน้ำมนต์
4. น้ำบริสุทธิ์มาใส่ลงในบาตรน้ำมนต์หรือขันน้ำมนต์
5. วันเวลาที่วางบาตรหรือขันน้ำมนต์ คือ เวลาก่อนเที่ยงคืนของคืนจันทร์เพ็ญ
6. ก่อนเวลา 24.00 น. ก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย ให้จุดเทียนน้ำมนต์สีขาวที่ปากบาตรหรือขันน้ำมนต์ ธูป 15 ดอก
7. ท่องคาถากำกับ 9 จบ โดยคาถา  วันจันทร์ คาถาว่า ” อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา ” (สวดวันละ 15 จบ). สวดต่อด้วย...ปุณณจันโท วิชานันเต วิสุทธิสาวโก วโร พุทโธ สัมธัมมรังสี มุนโน มัตถเกสุกังฯ...และสวดพระปริตรบท “อภัยปริตร” เสริมด้วยอีกก็ได้
8. รอจนกระทั่งเงาของดวงจันทร์ลอยมาปรากฏในบาตรให้ตั้งจิตอธิษฐานขอพรตามความปรารถนา
9. สิ่งที่อยากได้ในวันนี้ ควรเตรียมจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่ทำการสิ่งใดที่ไม่เป็นการเบียดเบียน ผู้อื่น ให้ได้รับความเดือดร้อนและปล่อยวางจิตใจให้สงบ ตัดเล็บ ตัดผม ลงในกระทง  เพื่ออธิฐานจิตว่าให้สิ่งไม่ดี จะลอยไป กับสิ่งที่ลุกได้ ใส่ลงมาในกระทงนี้ ด้วยเทอญ…..

อย่างไรก็ตามความเชื่อเรื่องทำน้ำมนต์ในคืนจันทร์เพ็ญเสริมมงคลชีวิตซึ้งมีความเชื่อที่เกี่ยวกับวันเกิดจุดจันทร์เพ็ญ วันจันทร์เพ็ญ หรือ ทำน้ำมนต์ได้ศักดิ์สิทธิ์มากเช่นกัน  สำหรับ น้ำมนต์จันทร์เพ็ญ นั้น ใช้ดื่มกินก็ได้ อาบก็ได้ รดศีรษะก็ได้ ประพรมก็ดี แต่ควรทำทันทีหลังพิธีการเสร็จสิ้น แล้วทำน้ำมนต์ใหม่ในวันเพ็ญเดือนต่อไป

ถ้าเป็นน้ำมนต์จันทร์เพ็ญเดือน 12 นั้นศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะ 1 ปีมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทำไว้ดื่มกินก็ได้ อาบก็ได้ ประพรมศีรษะร่างกายก็ได้ ช่วยเรื่องบรรเทายามเจ็บไข้ ป้องกันอันตรายจากการเดินทาง เป็น สิริสวัสดิมงคลแก่ชีวิต น้ำมนต์“ ในคืนจันทร์เพ็ญ จะ ’ศักดิ์สิทธิ์“ ยิ่งนัก เกิดสิริมงคล ทำการใดก็สำเร็จสมความปรารถนา มีโชคชัยมงคล ประสบชัยชนะ เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย รอดพ้นจากภยันตรายต่าง ๆ


การอาบน้ำเพ็ญ มีคติความเชื่อกันว่าน้ำในวันนี้เกิดจากพลังเทพประทานพร น้ำทุกหยดมีเทพในภพ ในภูมิต่างๆ ประทับสถิต หรือสรงสนาน ประกอบกับน้ำทุกสายที่ไหลบ่ามาจากป่า เขาลำเนาไพร ล้วนไหลผ่านดงสมุนไพรนานาพันธุ์ สารพัดคุณสารพัดประโยชน์ที่ สามารถช่วยบำบัดเยียวยารักษาโรคได้ทุกชนิด ทำให้ผู้ได้อาบและดื่มกินมี สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ผิวพรรณผ่องใส และอายุยืน 


สำหรับผู้ไม่สามารถไปร่วมพิธีที่ใดได้ตามคติความเชื่อของคนโบราณมักจะตักน้ำจากแม่น้ำลำคลองที่ไหลผ่านหน้าบ้านในเวลาเที่ยงคืนพอดี ส่วนคนที่อยู่ในเมืองทำได้เช่นกัน โดยให้นำภาชนะใส่น้ำไปตั้งไว้ยังกลางแจ้งรอ จนกระทั่งบังเกิดเงาของพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ภายในขันน้ำมนต์ หรือภาชนะที่ ใส่น้ำนั้น เป็นการนำเอาธาตุน้ำมารับแสงจันทร์ ธาตุน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวจะซึมซับเอาพลังงานจากพระจันทร์ช่วงเต็มดวงไว้อย่างเต็มที่ จากนั้นก็ตักอาบได้ ถือว่าเป็นสิริมงคลเช่นกัน 



อย่ามัวไปเพลินลอยกระทงอยู่เลย หาสิ่งอันเป็นสิริมงคลเข้าตัวกันดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น